


MASTERY FILMS
การสร้างหนังแบบ Co-productions หรือการร่วมผลิตระหว่างประเทศ กำลังกลายเป็นเรื่องปกติของวงการภาพยนตร์ โปรดิวเซอร์จากหลายประเทศมารวมทีมกันเพื่อแบ่งเงินลงทุน ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี และทำงานกับนักแสดงและทีมงานที่หลากหลาย บทความนี้จะพาไปรู้จักว่า Co-production คืออะไร ทำไมถึงได้รับความนิยม
การร่วมผลิตระหว่างประเทศไม่ใช่แค่การแบ่งเงินลงทุน แต่มันคือ พาร์ทเนอร์ชิปจริงๆ ที่โปรดิวเซอร์จากสองประเทศขึ้นไปนำเงิน ทรัพยากร และสิทธิ์ด้านการสร้างสรรครวมกันเพื่อทำหนัง แต่ละฝ่ายจะเป็นเจ้าของร่วม แบ่งปันทั้งกำไรและความเสี่ยง
รูปแบบของการร่วมผลิตมีหลายแบบ เช่น
ตามสัดส่วนการลงทุน
ตามสถานะทางกฎหมาย
1. เงินทุนและสิทธิประโยชน์ที่มากขึ้น โปรสามารถเข้าถึงกองทุน เงินอุดหนุน และเครดิตภาษีได้จากทุกประเทศ เช่น UK Film Tax Relief, Canadian Tax Credits และ Australia’s Producer Offset รวมถึงในไทยก็มี สิทธิประโยชน์สำหรับโปรดิวเซอร์ต่างชาติที่ร่วมมือกับบริษัทท้องถิ่น จึงเป็นกลยุทธ์สำคัญสำหรับหนังที่มีงบกลางถึงใหญ่
2. การกระจายความเสี่ยง การทำหนังคือการลงทุนที่เสี่ยงสูง เมื่อแชร์ต้นทุนกัน โปรดิวเซอร์ไม่ต้องรับภาระเต็มๆ ต่างฝ่ายลงทุนในสัดส่วนที่น้อยลง แต่รวมกันแล้วได้งบมากขึ้น หากหนังไม่ประสบความสำเร็จ ขาดทุนก็ถูกแบ่งเบา
3. การเข้าถึงทีมงานและโลเคชั่นระดับโลก Co-production เปิดทางให้เข้าถึงนักแสดง ผู้กำกับ และทีมงานจากหลายประเทศ รวมถึงง่ายต่อการถ่ายทำในหลายโลเคชั่นโดยไม่ติดข้อกฎหมายมากนัก ประเทศไทยจึงโดดเด่นด้วยภูมิประเทศที่หลากหลาย ตั้งแต่ทะเลสวย เมืองใหญ่ ไปจนถึงป่าดิบชื้น
4. เจาะตลาดได้กว้างขึ้น เพราะ co-production มักถูกนับเป็น “หนังท้องถิ่น” ในแต่ละประเทศหุ้นส่วน ทำให้เข้าฉายโรงง่ายขึ้น ตอบโจทย์โควต้า TV และสตรีมมิ่ง และทำแคมเปญการตลาดได้หลายประเทศพร้อมกัน จึงมีโอกาสประสบความสำเร็จระดับนานาชาติสูงกว่า
5. การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม นอกจากเรื่องธุรกิจแล้ว co-production ยังเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนเชิงสร้างสรรค์ โปรดิวเซอร์จากต่างชาตินำเรื่องเล่า ภาษา และมุมมองใหม่ๆ มารวมกัน ทำให้หนังมีมิติและเชื่อมโยงกับผู้ชมทั่วโลกมากขึ้น
1. กฎเกณฑ์และสนธิสัญญา Co-production แบบ official ถูกกำหนดด้วยสนธิสัญญาที่ชัดเจน เช่น กำหนดสัดส่วนการลงทุนขั้นต่ำ หรือข้อกำหนดด้านเนื้อหาทางวัฒนธรรม ตัวอย่างเช่น European Convention on Cinematographic Co-Production
2. ผ่านเกณฑ์การรับรอง หนังต้องผ่านการทดสอบด้านวัฒนธรรม ใช้นักแสดงและทีมงานท้องถิ่นตามสัดส่วน ใช้งบประมาณในประเทศ และมีสัญญาจัดจำหน่ายล่วงหน้า หากไม่ผ่านก็จะเสียสถานะ co-production และสิทธิประโยชน์ทั้งหมด
3. สัญญาร่วมผลิต หัวใจของการร่วมผลิตคือต้องมีสัญญาที่ชัดเจน กำหนดว่าใครลงทุนอะไร สิทธิ์การเป็นเจ้าของแบ่งอย่างไร กำไรแบ่งแบบไหน ใครถือสิทธิ์ตัดสินใจด้านครีเอทีฟ และจะทำอย่างไรหากเกิดข้อขัดแย้ง
4. การจัดการธุรกิจ โปรดิวเซอร์ต้องตั้งบริษัทในแต่ละประเทศ ใช้บัญชีเอสโครว์เพื่อความปลอดภัย จัดการงบหลายสกุลเงิน และปฏิบัติตามกฎภาษีและสหภาพแรงงานต่างๆ ทำให้หลายโครงการต้องมีทนายและนักบัญชีผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วย
แม้ co-production จะมีประโยชน์มาก แต่ก็เต็มไปด้วยความซับซ้อน ต้องทำเอกสารมากขึ้น ข้อขัดแย้งทางความคิดสร้างสรรค์ ความแตกต่างด้านกฎหมายแรงงาน และปัญหาด้านภาษาและวัฒนธรรม นอกจากนี้การแบ่งกำไรยังเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และบางครั้งอาจทำให้หนังสูญเสียเอกลักษณ์เฉพาะตัวเพื่อเอาใจทุกตลาด
Co-production เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการหาทุน ลดความเสี่ยง และขยายตลาด แถมยังเปิดโอกาสให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม แต่ต้องอาศัยการวางแผนรอบคอบ สัญญาที่ชัดเจน และพาร์ทเนอร์ที่เชื่อถือได้
1. Co-production คืออะไร คือการที่โปรดิวเซอร์จากสองประเทศขึ้นไปร่วมกันลงทุน ถือสิทธิ์ และแบ่งปันผลตอบแทนของภาพยนตร์ ทำให้หนังได้รับการยอมรับเป็น “หนังชาติ” ในแต่ละประเทศ
2. ทำไมโปรดิวเซอร์เลือก Co-production เพื่อเข้าถึงทุนมากขึ้น ได้สิทธิ์ลดหย่อนภาษี เจาะตลาดกว้างขึ้น ใช้ทีมงานระดับนานาชาติ และลดความเสี่ยงทางการเงิน
3. ระหว่าง Official และ Unofficial ต่างกันอย่างไร Official ได้การรับรองจากรัฐบาลและสิทธิประโยชน์ด้านเงินทุน ในขณะที่ Unofficial อิงตามสัญญาเอกชน ได้สิทธิ์น้อยกว่า
4. ความเสี่ยงหลักของ Co-productions คืออะไร เรื่องกฎหมายที่ซับซ้อน ความต่างทางวัฒนธรรม ปัญหาการแบ่งผลกำไร และต้นทุนในการจัดการที่สูงขึ้น
ให้ MASTERY FILMS เป็นพาร์ทเนอร์ของคุณ เราช่วยดูแลครบวงจรทุกขั้นตอน ตั้งแต่ใบอนุญาตถ่ายทำ การจัดการโลเคชั่น ทีมงานสองภาษา อุปกรณ์ครบครัน จนถึงโพสต์โปรดักชั่น
ส่งรายละเอียดมาได้เลย คลิกที่นี่ หรืออีเมล [email protected] ทีมงานเราพร้อมจัดงบประมาณให้ภายใน 24 ชั่วโมง